วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

                  ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3 กิจกรรม คือ ได้แก่(1) กิจกรรมแนะแนว (2) กิจกรรมนักเรียน (3) กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ โดยกิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี (รวมถึงกิจกรรมยุวกาชาด) เป็นกิจกรรมหนึ่งในกลุ่มกิจกรรมนักเรียน (กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี และกิจกรรมชุมนุม) ที่นักเรียนทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรม 40  ชั่วโมงต่อปีการศึกษา (ระดับประถมศึกษา) และ 40  ชั่วโมงต่อภาคเรียน (ระดับมัธยมศึกษา) โดยสำหรับการจัดกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี มีแนวทางการจัดจิกกรรมตามวิธีการลูกเสือ (Scout Method ) ซึ่งมีองค์ประกอบ 7 ประการ คือ
                1. คำปฏิญาณและกฎ  ถือเป็นหลักเกณฑ์ที่ลูกเสือทุกคนให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ กฎของลูกเสือมีไว้ให้ลูกเสือเป็นหลักในการปฏิบัติ ไม่ได้ ห้าม “ทำ” หรือบังคับให้ “ทำ” แต่ถ้า “ทำ” ก็จะทำให้เกิดผลดีแก่ตัวเอง เป็นคนดี เช่น ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีเกียรติเชื่อถือได้ ฯลฯ
               2. เรียนรู้จากการกระทำ  เป็นการพัฒนาส่วนบุคคล ความสำเร็จหรือไม่สำเร็จของผลงานอยู่ที่การกระทำของตนเอง ทำให้มีความรู้ที่ชัดเจนและสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตัวเองและท้าทายความสามารถของตนเอง
               3. ระบบหมู่ เป็นรากฐานอันแท้จริงของการลูกเสือและเป็นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นการเรียนรู้การใช้ประชาธิปไตยเบื้องต้น
               4. การใช้สัญลักษณ์ร่วมกัน ฝึกให้มีความเป็นหนึ่งเดียวในการเป็นสมาชิกลูกเสือเนตรนารีด้วยการใช้สัญลักษณ์ร่วมกัน ได้แก่ เครื่องแบบ เครื่องหมาย การทำความเคารพ รหัส คำปฏิญาณ กฎ คติพจน์ คำขวัญ ธง เป็นต้น วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้เรียนตระหนักและภาคภูมิใจในการเป็นสมาชิกขององค์การลูกเสือแห่งโลก ซึ่งมีสมาชิกทั่วโลก และเป็นองค์กรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในโลก
               5. การศึกษาธรรมชาติ เป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 ในกิจกรรมของลูกเสือ ธรรมชาติอันโปร่งใสตามชนบทป่าเขา ป่าละเมาะ และพุ่มไม้ เป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งมีการในการไปทำกิจกรรมกับธรรมชาติ การปืนเขา ตั้งค่ายพักแรกในสุดสัปดาห์ หรือ ตามวาระของการอยู่ค่ายพักแรม ตามกฎระเบียบเป็นที่เสน่หาแก่เด็กทุกคน ถ้าขาดการศึกษาธรรมชาติก็ไม่ถือว่าใช้ชีวิตแบบลูกเสือ
               6. ความก้าวหน้าในการเข้าร่วมกิจกรรม  กิจกรรมต่างๆ ที่จัดให้เด็กทำ ต้องให้มีความก้าวหน้าและดึงดูดใจ สร้างให้เกิดความกระตือรือร้น อยากที่จะทำ และวัตถุประสงค์ในการจัดแต่ละอย่างให้สัมพันธ์กับความหลากหลายในการพัฒนาตนเอง เกมการเล่นที่สนุกสนาน การแข่งขันกันก็เป็นสิ่งดึงดูดใจและเป็นการจูงใจที่ดี
               7. การสนับสนุนโดยผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นผู้ที่ชี้แนะหนทางที่ถูกต้องให้แก่เด็กเพื่อให้เขาเกิดความมั่นใจในการที่จะตัดสินใจกระทำสิ่งใดลงไปทั้งคู่มีความต้องการการซึ่งกันและกัน เด็กก็ต้องการให้ผู้ใหญ่เองก็ต้องการนำพาให้ไปสู่หนทางที่ดี ให้ได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้องและดีที่สุด จึงเป็นการร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย
scout-camp2สำหรับกิจกรรมเข้าค่ายพักแรมและเดินทางไกลของลูกเสือ-เนตรนารี ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมภาคบังคับหนึ่งที่สำคัญ ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และทุกโรงเรียนจะต้องจัดให้กับผู้เรียน โดยจะจัดในช่วงภาคเรียนที่ 2 ทั้งนี้ ตามข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติ ว่าด้วยการปกครองหลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ พ.ศ. 2509 ได้เขียนไว้ ใน ข้อ 273 ว่า การเดินทางไกลและแรมคืน ให้ผู้กำกับกลุ่มหรือผู้กำกับลูกเสือ นำลูกเสือไปฝึกเดินทางไกลและแรมคืนในปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ครั้งหนึ่งให้พักแรมอย่างน้อยหนึ่งคืน การเดินทางไกลและแรมคืน มีวัตถุประสงค์ดังนี้            1. เพื่อให้ลูกเสือ-เนตรนารีได้ฝึกความอดทน ความมีระเบียบวินัย รู้จักช่วยตัวเอง รู้จักอยู่และทำงานร่วมกับผู้อื่น
            2. เพื่อให้ลูกเสือ-เนตรนารีเป็นพลเมืองดี  รู้จักช่วยเหลือสังคมด้วยความเต็มใจ
            3. เพื่อให้ลูกเสือเนตรนารีได้พัฒนาตนเองเต็มศักยภาพจากประสบการณ์ตรงและเรียนรู้เพิ่มเติม
สำหรับการเข้าค่ายพักแรมลูกเสือ-เนตรนารี นั้น ปัจจุบันมีทั้งแบบที่โรงเรียนดำเนินการจัดค่ายเอง และแบบนำนักเรียนไปเข้าค่ายลูกเสือเอกชน ซึ่งก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นกับนโยบายของผู้บริหารโรงเรียนแต่ละแห่ง แต่ไม่ว่าแบบใดก็ตาม คุณครูที่เป็นผู้กำกับลูกเสือ-เนตรนารี ก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อควบคุมและดูแลนักเรียนให้ได้รับความปลอดภัยในการเข้าร่วมกิจกรรมและเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มที่ และทางโรงเรียนจะต้องวางแผนการจัดการอย่างเป็นระบบและรัดกุมมากที่สุด ทั้งในด้านการคัดเลือกสถานที่จัดกิจกรรมที่จะต้องมีความปลอดภัยสูง มีฐานกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียนและสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร รวมถึงการมีวิทยากรผู้กำกับลูกเสือ-เนตรนารี ที่มีประสบการณ์เข้ามาเป็นผู้นำในการจัดกิจกรรม เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะและประสบการณ์ใหม่ๆ และกรณีที่ต้องนำนักเรียนไปเข้าค่ายพักแรมนอกสถานที่ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากคือ การเดินทางไป-กลับระหว่างโรงเรียนกับค่ายพักแรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการเดินทางไปพักแรมหรือทัศนศึกษาต่างจังหวัด จะต้องคัดเลือกรถที่จะใช้ในการเดินทางที่มีความปลอดภัยสูงสุด และจัดงบประมาณเป็นค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่น ให้กับตำรวจทางหลวง นำขบวนนักเรียนทั้งไปและกลับตลอดเส้นทาง เพื่อให้การเดินทางของนักเรียนเป็นไปโดยสวัสดิภาพ 
scout-camp3
ข้อปฏิบัติในการอยู่ค่ายพักแรม
     1. เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด

     2. เชื่อฟังคำสั่งของนายหมู่ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาโดยชอบธรรม
     3. คอยฟังสัญญาณหรือคำสั่งจากผู้กำกับโดยพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งโดยฉับพลันและปฏิบัติหน้าที่ที่ได้มอบหมายให้ดีที่สุด
     4. รักษาความสามัคคีในหมู่คณะ
     5. จัดเวรยามดูแลความปลอดภัยของค่ายพักแรม
     6. รักษาความสะอาดในบริเวณที่พัก/ในห้องพักให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ
     7. ไม่นอนในที่พักของผู้อื่น
     8. ไม่ออกนอกบริเวณที่พัก / ค่ายพักโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้กำกับเป็นลายลักษณ์อักษร
     9. ไม่ครอบครองหรือนำยาเสพติด ของมืนเมา และสิ่งอบายมุขต่าง ๆ เข้าไปในค่ายพักแรม
     10.ไม่หยิบฉวยของผู้อื่นด้วยความมักง่าย
     11.ไม่ทำลายสิ่งของต่าง ๆ ของค่ายพักแรมให้เกิดความเสียหาย
     12.หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องรายงานผู้บังคับบัญชาทันที
     ทั้งนี้หากพบว่าลูกเสือไม่ทำตามข้อปฏิบัติในข้อ 7,8,9,10,11 จะดำเนินการส่งตัวกลับบ้านทันทีและไม่ให้ผ่านกิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี
คำปฏิญาณของลูกเสือ     ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า
     ข้อ 1. ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 
     ข้อ 2. ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ 
     ข้อ 3. ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ
กฎของลูกเสือ มี  10 ข้อ     ข้อ 1. ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้ 
     ข้อ 2. ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และซื่อตรงต่อผู้มีพระคุณ 
     ข้อ 3. ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น
     ข้อ 4. ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
     ข้อ 5. ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
     ข้อ 6. ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
     ข้อ 7. ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา และผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
     ข้อ 8. ลูกเสือมีใจร่าเริง และไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก 
     ข้อ 9. ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์ 
     ข้อ 10. ลูกเสือประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ 
พิธีการเปิดประชุม
          พิธีการเปิดประชุมกอง
                1.  ผู้กำกับลูกเสือ-เนตรนารี  เป็นบุคคลที่ควบคุมแถว
                2.  ให้รองผู้กำกับลูกเสือ-เนตรนารี  อยู่ด้านหลังเสาธง
                3.  ผู้กำกับลูกเสือ-เนตรนารี  นัดหมายหมู่บริการสั่ง  "กอง...ตรง"
                4.  ลูกเสือ-เนตรนารี  ทุกกอง  ทุกหมู่  เคารพธงชาติ
                     4.1  กรณีลูกเสือ-เนตรนารี  อยู่ในลักษณะมือเปล่า  ผู้กำกับสั่ง  "วันทยหัตถ์"..."มือลง"
                     4.2  กรณีที่ลูกเสือ-เนตรนารี  อยู่ในลักษณะมีอาวุธ  ผู้กำกับสั่ง  "วันทยาวุธ"..."เรียบอาวุธ"
                5.  ผู้กำกับ  รองผู้กำกับ  พร้อมกันทำวันทยหัตถ์
                6.  ตรวจความสมบูรณ์ของสุขภาพร่างกาย
                7.  เริ่มการประชุม
                     7.1  ชักธงขึ้นสู่ยอดเสา
                     7.2  สวดมนต์
                     7.3  สงบนิ่ง
                     7.4  ตรวจแถว
                     7.5  แยกแถว
                     7.6  กิจกรรมตามความเหมาะสม (เพลงหรือเกม)
                8.  ปิดประชุมกองโดยการ
                     8.1  นัดหมาย
                     8.2  ตรวจเครื่องแบบอีกครั้ง
                     8.3  เชิญธงลง
                     8.4  เลิกแถว
                พิธีการเปิดประชุมรอบเสาธง
                1.  วิทยากร  เป็นบุคคลควบคุมแถว
                2.  ผู้อำนวยการฝึกยืนอยู่เสาธง
                3.  วิทยากรนัดหมาย  หมู่บริการสั่ง  "กอง...ตรง"
                4.  ทุกกอง  ทุกหมู่  เคารพธงชาติ
                     4.1  กรณีลูกเสือ-เนตรนารี  อยู่ในลักษณะมือเปล่า  ผู้กำกับสั่ง  "วันทยหัตถ์"..."มือลง"
                     4.2  กรณีที่ลูกเสือ-เนตรนารี  อยู่ในลักษณะมีอาวุธ  ผู้กำกับสั่ง  "วันทยาวุธ"..."เรียบอาวุธ"
                5.  วิทยากร  คณะผู้อำนวยการฝึกพร้อมกันทำวันทยหัตถ์
                6.  ตรวจความสมบูรณ์ (ถ้ามีการอยู่ค่ายพักแรมเกิน 5 วัน  จะมีการส่งมอบธงเขียวด้วย)
                7.  เริ่มการเปิดประชุมรอบเสาธง
                     7.1  ชักธงขึ้นสู่ยอดเสา
                     7.2  สวดมนต์
                     7.3  สงบนิ่ง
                     7.4  ผู้อำนวยการฝึกกล่าวคำปราศัย
                     7.5  รับรายงานผลตรวจ-ให้โอวาท
                     7.6  วิทยากรนัดหมาย
                8.  ปิดการประชุมรอบเสาธง
                     8.1  นัดหมาย
                     8.2  สวดมนต์
                     8.3  สงบนิ่ง
                     8.4  เชิญธงลง
                     8.5  ร่วมกันร้องเพลงสามัคคีชุมนุม
                คำแนะนำทั่วไป
                การประชุมรอบเสาธงในตอนเช้าในระหว่างการฝึกอบรม
                การประชุมรอบเสาธง  สำหรับการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือ  ให้มีพิธีกรหนึ่งคน  ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการฝึกอบรม  เป็นผู้ดำเนินการ  เช่น  วิทยากรประจำหมู่  วิทยากรที่ปรึกษา  วิทยากรประจำกลุ่มหรือวิทยกรประจำวันเรียงตามลำดับ
                การปฏิบัติในการชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาในตอนเช้า
                มีขั้นตอนตามลำดับดังต่อไปนี้
                1.  ให้พิธีกรยืนอยู่หน้าเสาธง  หันหลังให้เสาธง  ห่างประมาร 3 ก้าว
                2.  พิธีกรใช้คำสั่งเรียก  "กอง"  ใช้สัญญาณมือเรียกแถวรูปครึ่งวงกลม (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองใช้คำสั่งเรียก  "แพ็ค"  แทนคำว่า  "กอง")
                3.  การเข้าแถวรูปครึ่งวงกลมให้หมู่แรกอยู่ทางซ้ายมือของผู้เรียกเสมอ  ทุกคนจะต้องจัดแถวโดยการสะบัดหน้าไปทางขวามือ  ระยะเคียงระหว่างบุคคลภายในหมู่ 1 ช่วงศอก  โดยให้มือซ้ายทาบสะโพกและดันศอกซ้ายให้เป็นแนวเดียวกับลำตัว  ระยะเคียงระหว่างหมู่ 1 ช่วงแขน  โดยให้รองหมู่ยกแขนซ้ายขึ้นวัดระยะแล้วเอาลง
                4.  ให้หมู่ถัดไปเข้าแถวจัดระยะเคียงระหว่างหมู่แรก  เรียงกันไปตามลำดับจนครบทุกหมู่  โดยให้หมู่สุดท้ายอยู่ทางขวามือของผู้เรียกตรงกับหมู่แรก  คือรองนายหมู่ของหมู่สุดท้ายจะยืนตรงกับนายหมู่ของหมู่แรก
                5.  เมื่อพิธีกรเห็นจัดรูปแถวเรียบร้อยแล้วจะสั่ง  "นิ่ง"  ทุกคนสะบัดหน้ากลับและคนที่ยกศอกซ้ายทาบสะโพกก็ลดศอกซ้ายลงยืนอยู่ในท่าตรงและนิ่ง
                6.  เมื่อทุกคนพร้อม  พิธีกรสั่ง  "ตามระเบียบ-พัก"  ต่อจากนั้นพิธีกรนัดหมายตัวแทนหมู่บริการ  ที่จะออกไปชักธงชาติ  นำร้องเพลงชาติ  นำสวดมนต์ก่อนแล้วสั่ง  "กอง-ตรง"  เสร็จแล้ว  สั่งให้หมู่บริการเข้าไปเริ่มพิธีการชักธงชาติ (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองให้สั่ง  "แพ็ค-ตรง"  ก่อนเช่นเดียวกัน)  พิธีกรกลับไปเข้าแถวกับวิทยากรอื่นที่เข้าแถวอยู่หลังเสาธง  เมื่อจะออกคำสั่งทุกครั้งให้ก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าว  สั่งเสร็จให้กลับเข้าแถวตามเดิม
                7.  ตัวแทนหมู่บริการหรือลูกเสือในหมู่บริการรวม 2 คน  ฝากไม้พลองหรือไม้ง่ามไว้กับคนข้างเคียงแล้ววิ่งออกไปยืนห่างจากเสาธงชาติประมาณ 3 ก้าว (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองให้วิ่งออกไปยืนห่างเสาธงชาติประมาณ 3 ก้าว  เพราะลูกเสือสำรองไม่มีอาวุธ)
                8.  ทั้งสองคนทำวันทยหัตถ์พร้อมกัน  คนทางขวามือเดินเข้าไป 2 ก้าว  ยืนเท้าชิด  แก้เชือกธงที่ผูกติดเสาธงออกถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม  แยกเชือกธงเส้นที่ชักขึ้นให้คนที่อยู่ทางซ้ายมือไว้  ส่วนธงชาติอยู่ที่คนทางขวามือ  อย่าให้เส้นเชือกหย่อน  ยืนเตรียมพร้อมแล้วพิธีกรสั่ง  "กอง-เคารพธงชาติ  วันทยาวุธ"  (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองสั่ง  "แพ็ค"  เคารพธงชาติ  ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทุกคนอยู่ในท่าตรง)  ผู้ให้การฝึกอบรมซึ่งยืนแถวหน้ากระดานอยู่หลังเสาธงให้ทำวันทยหัตถ์
                9.  ลูกเสือตามที่ได้กำหนดไว้ 1 คน  ในหมู่บริการ  นำร้องเพลงชาติ  ลูกเสือทุกคนร้องเพลงชาติ  พอเริ่มร้องเพลงชาติให้ผู้ชักธงทางซ้ายมือค่อยๆ  สาวสายเชือกให้ธงขึ้นสู่ยอดเสาช้าๆ  ให้สายเชือกตึง  ส่วนคนทางขวามือผ่อนสายเชือกให้ตึงเสมอกัน  พอร้องเพลงจบให้ธงชาติถึงปลายเสาพอดี  เสร็จแล้วให้คนทางขวามือเข้าไปผูกเชือกให้เรียบร้อยแล้วถอยหลังกลับเข้ามายืนที่เดิมในท่าตรง
                10.  ให้ผู้ชักธงทำวันทยหัตถ์พร้อมกัน  เสร็จแล้วเอามือลง (ผู้ให้การฝึกอบรมเอามือลงพร้อมกับผู้ชักธง)  กลับหลังหัน  วิ่งไปเข้าแถวตามเดิมพร้อมกับรับไม้พลองหรือไม้ง่ามที่ฝากไว้  ให้ยืนตรงอยู่ในท่าวันทยาวุธ  พิธีกรสั่ง  "เรียบ-อาวุธ"  (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองให้วิ่งกลับไปอยู่ท่าตรง)
                11.  พิธีกรสั่ง  ถอดหมวก  หมู่บริการนำสวดมนต์  ทุกคนถอดหมวกประนมมือ  หมู่บริการ 1 คน  นำสวดมนต์อย่างย่อ  เสร็จแล้วพิธีกรสั่ง  "สงบนิ่ง"  ลูกเสือทุกคนยืนสงบนิ่ง 1 นาที  แล้วเงยหน้าขึ้น  พิธีกรสั่ง  "สวมหมวก"  (ตามคู่มือระเบียบแถว)  ผู้ให้การฝึกอบรมปฏิบัติพร้อมกับลูกเสือตั้งแต่พิธีกรสั่งลูกเสือ  "ถอดหมวก"  หมู่บริการนำสวดมนต์  สงบนิ่งและสวมหมวก
                12.  พิธีกรสั่ง  "กอง-ตามระเบียบพัก"  (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองพิธีกรสั่ง  "แพ็ค-ตามระเบียบพัก")  แล้วพิธีกรทำซ้ายหัน  ทำวันทยหัตถ์ผู้อำนวยการฝึกแล้วทำขวาหันกลับที่เดิม
                13.  ขณะที่ผู้อำนวยการฝึกเดินไปยืนหน้าเสาธง  พิธีกรสั่ง  "กอง-ตรง, วันทยาวุธ"  ผู้อำนวยการฝึกทำวันทยหัตถ์ตอบ  พิธีกรสั่ง  "เรียบอาวุธ, ตามระเบียบพัก"  (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองพิธีกรสั่ง  "แพ็ค-ตรง"  ทุกคนเคารพด้วยท่าตรง  พิธีกรสั่ง  "ตามระเบียบพัก")
                14.  ผู้อำนวยการฝึกกล่าวปราศรัย  ดำเนินการเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน  เช่น  รายงานการตรวจ  ให้โอวาท  ขั้นตอนจบพิธีกรสั่ง  "กอง-ตรง, วันทยาวุธ"  ผู้อำนวยการฝึกทำวันทยหัตถ์ตอบ  พิธีกรสั่ง  "เรียบอาวุธ, ตามระเบียบพัก"  (ถ้าเป็นลูกเสือสำรองพิธีกรสั่ง  "แพ็ค-ตรง"  ทุกคนเคารพด้วยท่าตรง  พิธีกรสั่ง  "ตามระเบียบพัก")
                15.  พิธีกรนัดหมาย  แล้วสั่ง  "กอง-ตรง,  กอง-แยก"   (ถ้าเป็นลูกเสือสำรอง  พิธีกรสั่ง"แพ็ค-ตรง,  แพ็ค-แยก")

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ดอกไม้ประจําชาติอาเซียน มีดังนี้

1. ดอกไม้ประจำชาติไทย – ดอกราชพฤกษ์ (Ratchaphruek) หรือ ดอกคูน
ดอกราชพฤกษ์
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติของไทย
ดอกไม้ประจำชาติของไทยคือดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน (ภาษาอีสาน) และ ดอกลมแล้ง (ภาษาเหนือ) โดยที่ดอกราชพฤกษ์นั้นมีลักษณะดอกเป็นช่อหรือเป็นพวง มีสีเหลืองสดใสสวยงาม ดอกราชพฤกษ์ของไทยบานเหลืองสะพรั่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี โดยเราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ทั้งตามแนวถนนหลวง ตามสวนสาธารณะ ตามวัดวาอาราม อีกทั้งเราจะพบว่าคนไทยนิยมนำดอกราชพฤกษ์มาประดับพระเจดีย์ทรายที่นิยมก่อกันในช่วงวันสงกรานต์อีกด้วย
2. ดอกไม้ประจำชาติกัมพูชา – ดอกลำดวน (Rumdul)
ดอกลำดวน
ดอกลำดวน ดอกไม้ประจำชาติกัมพูชา
ดอกไม้ประจำชาติของกัมพูชาคือดอกลำดวน โดยที่ดอกลำดวนเป็นดอกไม้สีขาวปนเหลืองนวล (เหลืองนวลอ่อนๆ) มีกลีบดอกหนาและค่อนข้างแข็ง มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ โดยจะส่งกลิ่นแรงในช่วงเวลากลางคืน ชาวกัมพูชาถือว่าดอกลำดวนเป็นดอกไม้มงคล นิยมปลูกกันทั่วประเทศ เป็นดอกไม้ประจำชาติอาเซียนที่มีลักษณะแปลกตา แต่มีเอกลักษณ์และสวยงามมาก
3. ดอกไม้ประจำชาติลาว – ดอกจำปาลาว (Dok Champa) หรือ ดอกลีลาวดี
ดอกลีลาวดี
ดอกลีลาวดี หรือ ดอกจำปาลาว ดอกไม้ประจำชาติลาว
ดอกไม้ประจำชาติอาเซียนอีกประเทศหนึ่งคือดอกลีลาวดีของประเทศลาว ดอกลีลาวดีมีชื่อในภาษาลาวว่าดอกจำปาลาว หรือที่คนไทยโบราณนิยมเรียกว่าดอกลั่นทม ซึ่งมาเปลี่ยนชื่อเป็นดอกลีลาวดีในภายหลัง (นัยว่าเพื่อความเป็นสิริมงคล) ดอกลีลาวดีนั้นเป็นดอกไม้ที่มีหลากหลายสีสัน ทั้งสีขาว สีส้ม สีแดง สีชมพู และสีเหลืองเป็นต้น คนลาวถือว่าดอกลีลาวดีซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติของตนนั้นเป็นตัวแทนของความสดชื่น ความจริงใจ และความสุข ดังนั้นคนลาวจึงนิยมใช้ดอกลีลาวดีในงานมงคลทุกชนิด ทั้งงานบวช งานแต่ง งานทำบุญต่างๆ รวมถึงทำเป็นพวงมาลัยถวายพระและต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วย
4. ดอกไม้ประจำชาติพม่า – ดอกประดู่ (Padauk)
ดอกประดู่
ดอกประดู่ ดอกไม้ประจำชาติพม่า
ดอกไม้ประจำชาติพม่าคือดอกประดู่ ดอกประดู่เป็นดอกไม้สีเหลืองทอง สีสันสวยงาม พบได้มากทั้งในประเทศพม่าและประเทศไทยของเรา เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม โดยจะเริ่มออกดอกพร้อมกับฤดูฝน ซึ่งถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับประเทศเกษตรกรรม คนพม่านิยมใช้ดอกประดู่สำหรับงานเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลปีใหม่ของตน รวมถึงงานมงคลต่างๆ นิยมใช้เป็นดอกไม้บูชาพระและงานสำคัญทางศาสนาด้วย
5. ดอกไม้ประจำชาติเวียดนาม – ดอกบัว (Lotus)
ดอกบัว
ดอกบัว ดอกไม้ประจำชาติเวียดนาม
ดอกไม้ประจำชาติเวียดนามคือดอกบัว คนเวียดนามมีความเชื่อว่าดอกบัวคือสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความรัก ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี รวมถึงความเชื่อที่ว่าดอกบัวเป็นตัวแทนแห่งรุ่งอรุณ เนื่องจากดอกบัวจะคลี่บานพร้อมกับแสงตะวัน ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นวันที่แจ่มใส เราจึงสามารถพบคำว่าดอกบัวอยู่ในบทเพลงพื้นบ้านและบทกลอนในภาษาเวียดนามอยู่เสมอ นับได้ว่าเป็นดอกไม้ประจำชาติอาเซียนที่ไม่ได้เป็นดอกไม้ประจำถิ่น แต่เป็นดอกไม้ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในทุกประเทศอาเซียน
6. ดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์ – ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim)
Vanda 'Miss Joaquim'
Vanda ‘Miss Joaquim’ ดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์
ดอกไม้ประจำชาติของสิงค์โปร์คือดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim ) ซึ่งดอกกล้วยไม้แวนด้านี้จะมีสีม่วงแดงสดใส สามารถออกดอกบานสะพรั่งได้ตลอดทั้งปี โดยชื่อ Vanda Miss Joaquim มาจากชื่อของผู้ที่สามารถผสมพันธุ์กล้วยไม้สายพันธุ์แวนด้าชนิดนี้ได้สำเร็จ ซึ่งก็คือ Miss Joaquim นั่นเอง ดอก Vanda Miss Joaquim ถูกประกาศให้เป็นดอกไม้ประจำชาติเมื่อปี ค.ศ. 1981
7. ดอกไม้ประจำชาติมาเลเซีย – ดอกพู่ระหง (Bunga Raya) หรือ ดอกชบาแดง
ดอกพู่ระหง
ดอกพู่ระหง ดอกไม้ประจำชาติมาเลเซีย
ดอไม้ประจำชาติอาเซียนที่มีความสวยงามมากอีกประเทศหนึ่ง ก็คือดอกไม้ประจำชาติมาเลเซีย ซึ่งคือดอกพู่ระหง หรือ ดอกบุหงารอยอในภาษามาเลย์ หรือดอกชบาแดงในภาษาไทย พู่ระหงเป็นดอกไม้ที่มีสีแดงสดใส มีกลีบดอก 5 กลีบ มีแกนเกสรอยู่ตรงกลาง เป็นไม้ดอกประเภทล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูงประมาณ 1 เมตรเท่านั้น ชาวมาเลย์เชื่อว่าดอกพู่ระหงเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความสามัคคีของคนในชาติ และยังรวมถึงความสูงส่งและความสง่างามอีกด้วย
8. ดอกไม้ประจำชาติบรูไน – ดอกส้านชะวา (Dillenia) หรือดอกซิมปอร์ (Simpor)
ดอกส้านชะวา
ดอกส้านชะวา ดอกไม้ประจำชาติบรูไน
ดอกไม้ประชาติของบรูไนคือดอกซ้านชวาหรือดอกซิมปอร์ ซึ่งเป็นดอกไม้สีเหลืองสดใสสวยงาม มีดอกขนาดใหญ่คล้ายร่ม ในหนึ่งดอกจะประกอบไปด้วยกลีบดอกจำนวน 5 กลีบ ดอกซ้านชวาถือว่าเป็นดอกไม้ประจำถิ่นของบรูไน สามารถพบเห็นได้ทั่วไป รวมถึงในธนบัตรหรือเงินของบรูไนและงานศิลปะประเภทต่างๆอีกด้วย
9. ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย – ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid)
ดอกกล้วยไม้ราตรี
ดอกกล้วยไม้ราตรี ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย
ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซียคือดอกกล้วยไม้ราตรี หรือ Moon Orchid ซึ่งเป็นกล้วยไม้สายพันธุ์พิเศษที่มีลักษณะสวยงามและออกดอกตลอดทั้งปี รวมถึงสามารถบานอยู่ได้หลายเดือน สามารถขึ้นได้ดีในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นซึ่งเป็นลักษณะอากาศประจำถิ่นของอินโดนีเซีย นับได้ว่าเป็นดอกไม้ประจำชาติอาเซียนที่มีงดงามไม่แพ้ใครเลยทีเดียว
10. ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ – ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine)
ดอกพุดแก้ว
ดอกพุดแก้ว ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์
ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์คือดอกพุดแก้ว ซึ่งเป็นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ มีลักษณะของดอกเป็นแฉกจำนวน 5 กลีบคล้ายรูปดาว มีกลิ่นหอมสดชื่นโดยเฉพาะในเวลากลางคืน ต้นพุดแก้วจะออกดอกได้ทั้งปี โดยชาวฟิลิปปินส์เชื่อว่าดอกพุดแก้วเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ ความเรียบง่าย ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเข้มแข็ง จึงนิยมใช้ดอกพุดแก้วในงานรื่นเริงและงานเฉลิมฉลองทุกชนิด
การหักเหของแสง
การมองวัตถุที่อยู่ในน้ำ โดยผู้มองอยู่ในอากาศ แสงจากวัตถุเคลื่อนที่ผ่านน้ำ หักเหสู่อากาศ แล้วเข้าสู่นัยน์ตา เมื่อต่อแนวรังสีหักเหไปตัดกันที่จุดหนึ่ง จุดนี้เป็นตำแหน่งภาพที่ตาเรามองเห็น ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เรามองเห็นภาพวัตถุอยู่ตื้นกว่าวัตถุจริง
จากความรู้นี้ คงจะอธิบายได้ว่า " เหตุใดเมื่อเรามองพื้นสระว่ายน้ำ จึงมองเห็นว่าพื้นสระว่ายน้ำตื้นกว่าความเป็นจริง"
การหักเหของแสง เป็นสมบัติอย่างหนึ่งของแสง โดยปกติแสงจะเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อเดินทางผ่านวัตถุโปร่งใสชนิดเดียวกัน แต่บางครั้งการเดินทางของแสงผ่านวัตถุ 2 ชนิด เช่น แสงเดินทางผ่านอากาศแล้วผ่านไปในน้ำ การเดินทางของแสงในวัตถุทั้งสองจะเป็นเส้นตรง แต่ไม่อยู่ในแนวเดียวกัน นั่นคือแสงจะเกิดการหักเหไปจากแนวเดิม ตรงรอยต่อระหว่างผิวของวัตถุทั้ง 2 ชนิดนั้น เราเรียกว่า การหักเหของแสง
เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุต่างชนิดกัน จะเกิดการหักเหของแสง โดยการหักเหของแสงจะเบนเข้าหาเส้นแนวฉาก หรือเบนออกจากเส้นแนวฉากนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุที่แสงเดินทางผ่าน จึงควรพิจารณาดังนี้
( 1) ถ้าแสงเดินทางจากวัตถุที่แสงมีความเร็วมากกว่า ไปยังวัตถุที่แสงมีความเร็วน้อยกว่า เช่น จากน้ำไปสู่แก้ว จากอากาศไปสู่น้ำ หรือ จากน้ำไปสู่พลาสติก ลำแสงจะเบนเข้าหาเส้นแนวฉาก ดังภาพที่ 1
  ( 2) ถ้าแสงเดินทางจากวัตถุที่แสงมีความเร็วน้อยกว่า ไปยังวัตถุที่แสงมีความเร็วมากกว่า เช่น จากแก้วไปสู่น้ำ จากน้ำไปสู่อากาศ หรือ จากพลาสติกไปสู่อากาศ ลำแสงจะเบนออกจากเส้นแนวฉาก ดังภาพที่ 2

ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการหักเหของแสง
( 1) การมองเห็นวัตถุที่อยู่ในน้ำหักงอ เช่น เห็นหลอดหรือช้อนที่อยู่ในแก้วซึ่งมีน้ำอยู่มีลักษณะหักงอผิดความจริง
( 2) การมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในน้ำอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง เช่นเวลามองปลาที่อยู่ในน้ำ จะมองเห็นว่าปลาอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง
( 3) เมื่อมองวัตถุผ่านน้ำไปยังอากาศ จะเห็นวัตถุอยู่ไกลกว่าความเป็นจริง
การเคลื่อนที่ของแสงผ่านวัตถุต่างๆ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านวัตถุต่างชนิดกัน นักเรียนเคยมองปลาหรือวัตถุต่างๆ ที่อยู่ในน้ำใสบ้างหรือไม่ และเคยคิดว่าปลาหรือวัตถุเหล่านั้นอยู่ตรงตำแหน่งที่มองเห็นหรือไม่ เพราะเหตุใด
นำดินสอใส่ลงในแก้วเปล่า แล้วมองแท่งดินสอในแนวต่างๆ กัน (ตำแหน่งของตาอยู่เหนือถ้วย) สังเกตลักษณะที่เห็น จากนั้นนำดินสอใส่ในแก้วที่บรรจุน้ำ สังเกตลักษณะที่เห็น และลองทำซ้ำโดยเปลี่ยนจากดินสอเป็นไม้บรรทัด สังเกตลักษณะที่เห็นเช่นกัน เราจะเห็นว่าลักษณะดินสอทั้งแท่งในแก้วทั้งสอง จากการมองเห็นแตกต่างกัน ดินสอส่วนที่อยู่ในน้ำจะอยู่ ตื้นกว่าที่เป็นจริง จะเห็นดินสอทั้งส่วนที่อยู่ในน้ำ และเหนือน้ำไม่ตรงเหมือนเดิม จะเห็นหักเป็นมุมที่ผิวน้ำ
เมื่อเปลี่ยนดินสอเป็นไม้บรรทัด จะสังเกตเห็นไม้บรรทัดไม่ตรง จะเห็นหักเป็นมุมที่ผิวน้ำ ไม้บรรทัดส่วนที่อยู่ในน้ำ จะมองเห็นอยู่ตื้นกว่าที่เป็นจริง


เมื่อแสงผ่านวัตถุต่างกัน แสงจะเบนไปจากแนวเดิมตรงผิวรอยต่อของน้ำและอากาศ เรียกแสงที่เบนไปจากแนวเดิมนี้ว่า รังสีหักเห
สรุปว่า การที่เราเห็นวัตถุได้ เพราะแสงจากวัตถุมาเข้าตาเรา แสงจากวัตถุในน้ำที่มาเข้าตาเรา มีการเบนไปเมื่อผ่านจากน้ำออกสู่อากาศ ดังแผนภาพ


วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

                                                     

ประวัติส่วนตัว



ชื่อ นางสาวอภิชญา  อารีการ ชื่อเล่น ทราย
ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 3 /1 
วันเกิด วันที่ 18 พฤศจิกายน 2543